
ผมได้รวบรวมเกณฑ์การให้คะแนนของโบรกเกอร์ของ SAKA invest เพื่อความโปร่งใส และตรวจสอบได้ ว่าผมไม่ได้มั่วๆให้คะแนน ทุกอย่างมีที่มาที่ไปและมีหลักฐานอ้างอิง
ความน่าเชื่อถือ
คะแนนเต็ม 5 คะแนนโดยเราจะพิจารณาจาก
1.ระดับใบอนุญาต
- มีใบอนุญาตระดับ 1: ได้ 2 คะแนน
- มีใบอนุญาตระดับ 2: ได้ 0 คะแนน
- มีใบอนุญาตระดับ 3: ได้ 0 คะแนน
*ระดับใบอนุญาตวัดจากความน่าเชื่อถือของประเทศที่ออก กดดูระดับใบอนุญาตได้ที่นี่
2.ปีที่ก่อตั้ง
- ก่อตั้ง 10 ปีขึ้นไป: ได้ 1 คะแนน
- ก่อตั้ง 5-9 ปี: ได้ 0.5 คะแนน
- ก่อตั้ง 1-4 ปี: ได้ 0 คะแนน
โบรกเกอร์ที่ก่อตั้งมานานก็แปลว่ามีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง เพราะหากมีการโกงก็คงปิดหนีไป หรือโดนตำรวจจับไปตั้งแต่ปีแรกๆอยู่แล้ว
3.ประวัติการโกง
- ไม่มีประวัติการโกง: ได้ 1 คะแนน
- ถ้ามีประวัติการโกง: จะให้คะแนนความน่าเชื่อถือเป็น 0.5 ดาวทันทีโดยไม่นำคะแนนในข้อบวกเพิ่มให้
*หาประวัติการโกงจาก Google, Youtube, Facebook
4.ผู้ใช้งานต่อเดือน
- 6 แสนครั้งขึ้นไปต่อเดือน: ได้ 0.5 คะแนน
- ต่ำกว่า 6 แสนครั้งต่อเดือน: ได้ 0 คะแนน
จำนวนผู้ใช้งานบ่งบอกว่าโบรกเกอร์นั้นๆเป็นที่นิยมมากน้อยเพียงใด ถ้ามีคนใช้งานเยอะก็อาจแปลว่าน่าเชื่อถือกว่าโบรกเกอร์ที่คนใช้งานน้อย เพราะถ้าไม่ดีจริงคนคงไม่ใช้งานเยอะๆจริงไหม?
*จำนวนผู้ใช้อ้างอิงจาก similarweb.com
5.การแยกเงินฝากของลูกค้า
- มีการแยกเงินฝากของลูกค้าไว้ในธนาคารอื่น: ได้ 0.5 คะแนน
- ไม่มีการแยกเงินฝากของลูกค้า: ได้ 0 คะแนน
การแยกเงินฝากของลูกค้าออกจากเงินของโบรกเกอร์ทำให้เมื่อโบรกเกอร์ปิดกิจการหรือล้มละลายเงินของลูกค้าก็ยังอยู่ครบ ทำให้เราถอนเงินออกได้เสมอไม่ต้องกังวลว่าเงินจะหายนั่นเอง (ส่วนใหญ่แล้วหน่วยงานที่กำกับดูแลจะบังคับให้โบรกเกอร์แยกเงินฝากของตนออกจากเงินฝากของลูกค้าอยู่แล้ว)
สเปรดและคอมมิชชั่น
เริ่มแรกเราทำการบันทึกค่าสเปรดของโบรกเกอร์พร้อมกันจำนวน 5 ครั้ง
กดที่ภาพเพื่อดูเต็มจอ
จากนั้นเอาสเปรดที่ได้ทำเป็นค่าเฉลี่ยและนำไปบวกเพิ่มกับค่าคอมมิชชั่น (เพราะบางโบรกคิดค่าสเปรดต่ำแต่บวกค่าคอมมิชชั่นเพิ่ม)
แล้วก็เอาค่าสเปรดที่ได้มาทำเป็น percent rank และนำมาคูณกับ 5 ก็จะได้เป็นคะแนนสูงสุดที่ 5 คะแนนนั่นเอง
จากนั้นนำคะแนนสเปรดทั้งของ forex, cryptocurrency, หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์ มาเฉลี่ยกันเพื่อเป็นคะแนนอีกที
แล้วก็เอาคะแนนเฉลี่ย +0.5 คะแนนเพิ่มให้ทุกโบรกเกอร์ เพื่อให้ได้คะแนนเต็ม 5 ดาวนั่นเอง
และสุดท้ายก็ปัดเศษคะแนนให้เป็นจำนวน .5 หรือ .0 อีกที
อาจจะดูงงๆ แนะนำไปดูไฟล์การคำนวณคะแนนสเปรดของเราได้ที่ → กดเพื่อดูการคำนวณคะแนนสเปรด
สวอป
เริ่มแรกเราทำการเปิดออเดอร์ทุกๆโบรกเกอร์ทิ้งไว้ 1 คืนในวันเดียวกันและบันทึกค่าสเปรดในวันถัดมา
*ของ XM และ NAGA เปิดออเดอร์ในอีก 1 วันต่อมาเพราะมีเหตุผิดพลาดนิดหน่อย และวันนั้นเป็นวันที่คิด Swap 3 เท่าพอดี แต่ก็ไม่มีผลอะไรเพราะผมเอาค่า Swap ที่ได้มาหาร 3 แล้ว
*ยกเว้น BTCUSD และ TSLA ของ NAGA ไม่ได้หาร 3 เพราะมันไม่ได้คิด Swap 3 เท่าในวันนั้น แต่ของ XM หาร 3 ทั้งหมดเพราะคิด Swap 3 เท่าในวันนั้น
กดที่ภาพเพื่อดูเต็มจอ
จากนั้นเราก็นำค่า swap long และ swap short มาทำ percent rank แล้วคูณ 5 เพื่อให้ได้คะแนนเต็ม 5 โดยทำแบบนี้ในทุกสินทรัพย์
สุดท้ายก็เอาคะแนนที่ได้มาทำเป็นค่าเฉลี่ย ก็จะได้จะได้คะแนนเต็ม 5 นั่นเอง
ผมเชื่อว่าคุณงงแน่นอน 555 เอาเป็นว่าลองไปดูไฟล์ที่ผมทำได้ที่ → กดเพื่อดูการคิดคะแนน swap
เรทฝากถอนและค่าธรรมเนียมฝากถอน
ผมทำการฝากเงินเข้าไปในโบรกเกอร์นั้นๆ และกดถอนเงินออกทันทีเพื่อดูว่าเงินจะหายไปเท่าไหร่ (เงินที่หายไปเป็นผลมาจากเรทฝากถอนและค่าธรรมเนียม)
นี่คือภาพอ้างอิงที่ผมบันทึกไว้ตอนฝากและถอน
เรทฝาก
กดที่ภาพเพื่อดูเต็มจอ
เรทถอน
พอได้เรทฝากถอนแล้วผมก็นำไปทำ percent rank และคูณ 5 ก็จะได้เป็นคะแนนเต็ม 5 นั่นเอง
ลองไปดูการคำนวณคะแนนได้ที่ → กดเพื่อดูการคิดคะแนนเรทฝากถอน
สินทรัพย์ที่มีให้เทรด
ดูว่าโบรกเกอร์นั้นๆ มีสินทรัพย์ในหมวดหมู่อะไรให้เทรดบ้างซึ่งประกอบไปด้วย
- Forex เช่น EURUSD : ถ้ามีได้ 1 คะแนน
- Cryptocurrency เช่น BTCUSD : ถ้ามีได้ 1 คะแนน
- หุ้น เช่น TESLA : ถ้ามีได้ 1 คะแนน
- ดัชนี เช่น S&P 500 : ถ้ามีได้ 1 คะแนน
- สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ : ถ้ามีได้ 1 คะแนน
รวมแล้ว 5 คะแนนนั่นเอง
*เราจะดูสินทรัพย์ที่มีให้เทรดจากบัญชี Standard ของโบรกเกอร์นั้นๆเท่านั้น หากต้องเปิดบัญชีอื่นๆเพิ่มเราจะไม่นับว่ามีหมวดหมู่ของสินทรัพย์นั้นๆ เพราะมันยุ่งยากต้องเปิดหลายบัญชีกว่าจะได้เทรด และโบรกเกอร์กว่า 90 % ไม่ได้แยกบัญชีของแต่ละสินทรัพย์อยู่แล้ว ดังนั้นหากโบรกไหนต้องเปิดบัญชีเพิ่มเราจะไม่นับรวมว่ามี
แชร์บทความนี้
มีคำถาม? ติดต่อเราเลยทาง LINE
หรือแอดไลน์ไอดี: @sakainvest (มี @)